เลี้ยงชีวิตไม่ได้ทำให้ขยัน
"ขยัน" คือ ทําการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแข็งขันไม่ปล่อยปละละเลย ทําหรือประพฤติเป็นปรกติ สม่ำเสมอ ไม่เกียจคร้าน
ซึ่งในความหมายเหล่านี้เราทุกคนต่างรับทราบกันดีอยู่แล้ว แต่แล้วทำไมเรายังกลับไม่รู้สึกขยันเท่าที่ควรสำหรับการดำรงชีวิตในปัญจุบัน นั่นก็เพราะว่าเนื้อแท้ของเรานั้นยังไม่สามารถที่จะหาแรงจูงใจหรือเหตุผลในการขยันนั้นเอง และหลายๆครั้งที่เรามักจะเอาคำว่า เพื่อเลี้ยงชีพมาอ้างให้ขยันเพื่อที่จะได้มีแรงจูงใจขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายพอผ่านมาในระดับหนึ่งเรากลับรู้สึกมีความขยันลดลงไปจากเดิ นั่นก็เพราะว่าจริงๆ แล้วการเลี้ยงชีวิตนั้นไม่สามารถเป็นเหตุผลเพียงพอให้เราขยันได้จริง เพราะว่าเริ่มต้นหากเราเป็นคนที่ไม่ได้ผ่านความลำบากยากเข็นมากขนาดที่จะรับรู้ได้ถึงความลำเค็ญแสนเข็นของชีวิตแล้วละก็จะยิ่งยากที่จะเข้าใจถึงความจำเป็นหรือความสำคัญของคำว่าเลี้ยงชีวิตอย่าแท้จริง ดังนั้นความขยันจึงไม่สามารถที่จะยั่งยืนขนาดนั้น เพราะเมื่อไหร่ที่เราผ่านจุดที่ดีขึ้นมาจากเดิมอาจจะมากหรือน้อยเราอาจจะเพียงพอต่อคำว่าเลี้ยงชีวิตแล้วก็จะทำให้เราหลงลืมความขยันไปได้อีก สุดท้ายแล้วก็จะหมดความขยันไปได้
นั่นก็เพราะว่าในการเลี้ยงชีวิตนั้นจริงๆแล้วไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้นสำหรับคนยุคนี้ เนื่องจากมีปัจจัยและช่องทางการสร้างรายได้ให้เลี้ยงชีวิตและดำรงชีพได้ปกติ แต่อาจจะไม่ได้ตอบสนองความต้องการในด้านสันทนาการก็เท่านั้น และนี่ก็คือเหตุผลหลักเลยที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ติดอยู่ในรูปแบบสถานะทางการเงินไม่มั่นคง
แล้วอะไรถึงจะทำให้ความขยันนั้นจะสามารถคงอยู่และสามารถพัฒนาไปพร้อมกับคุณภาพชีวิตและการเงินได้ร่วมกันล่ะมีไหม ต้องบอกเลยว่ามีแน่นอนแต่เพียงแค่เราต้องเข้าตัวเองให้แน่ใจก่อนและค่อยๆทำตาม 5 วิธีที่ผมอยากจะนำเสนอดังต่อไปนี้
1. สร้างบุคคลในอุดมคติหรือออกแบบชีวิตตัวเองที่อยากจะเป็นให้ได้ก่อนและหาบุคคลที่คล้ายที่เราอยากจะเป็นมาเป็นต้นแบบ เรียนรู้จากเขาเหล่านั้นและคอยศึกษาจากบุคลลเหล่านั้นสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่เราเหนื่อยหรือท้อให้ย้อนกลับมาดูตัวเราในวันปัจจุบันและเทียบกับตัวเองในวันเก่าว่ามีการพัฒนาไปไกลกับคนในอุดมคติมากขึ้นไหมเพื่อเป็นกำลังใจในการก้าวต่อไป
2. เป้าหมายต้องท้าท้ายและต้องมีความหมายเพียงพอต่อชีวิต เพราะหากเป้ามหมายที่ตั้งนั้นไม่มีความหมายเพียงพอต่อชีวิตที่ต้องการล้วนแต่จะทำให้เราเสียเวลาไปกับเป้าหมายที่เปล่าประโยชได้ ดังนั้นการเลือกเป้าหมายจึงต้องมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่มีคุณค่าต่อความรู้สึกและมีความหมายกับชีวิตให้มากที่สุด จะยิ่งทำให้ช่วยพลักดันให้เราไปถึงจุดหมายได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะเป็นแรงพลักดันที่ดีในระหว่างทางที่ต้องก้าวไปหาเป้าหมาย
3. คิดถึงความสวยงามของผลลัพธ์ที่จะได้จากเป้าหมายอย่าไปคิดถึงอุปสรรค์ที่จะต้องเจอ เพราะว่าไม่ว่าจะมีเป้าหมายหรือไม่มีก็ตามเราต่างก็ต้องพบปะกับอุปสรรค์อยู่ดี ดังนั้นอุปสรรค์ที่ต้องเข้ามาถือว่าเป็นค่าธรรมเนียมของการมีชีวิตอยู่แล้ว แต่หากเป็นอุปสรรค์ที่เข้ามาขวางในเส้นทางของเป้าหมายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะสะสมเพิ่มความสวยงามของความสำเร็จของเป้าหมายที่จะไปถึงในสักวันให้มีมูลค่าความสำเร็จได้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นอย่ากลัวต่ออุปสรรค์ในระหว่างทาง
4. มั่นพัฒนาพลังที่ดีให้กับตัวเอง พลังที่ผมหมายถึงในที่นี้หลักๆจะประกอบไปด้วย 4 แบบ นั่นก็คือ พลังทางความคิด พลังทางกายภาพ พลังทางอารมณ์ และพลังทางจิตใจพลังทางความคิด คือการที่เราต้องหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมทั้งในเรื่องที่จำเป็นและเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเพื่อเป็นการสร้างนิสัยของการเรียนรู้ให้กับตัวเอง พลังทางกายภาพ คือการที่ต้องต้องดูแลตัวเองให้ความสำคัญต่อการนอนการกิน และการออกกำลังกาย เพื่อสร้างร่างกายที่แข็งแรง เพราะร่างกายที่ดีจะเกิดการกระตุ้นที่ดีต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวันของเรา
พลังทางอารมณ์ คือสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้เพราะสภาวะทางอารมณ์ที่เป็นบวกมักจะพาให้เรามีทัศนคติที่ดีต่อการดำรงชีวิตไม่ว่าจะพบเจอกับปัญหามากแค่ไหนผลของสภาวะทางอารมณ์ที่ดีมักจะนำพาชีวิตไปหาหนทางที่ดีได้ง่ายกว่าสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ดีเสมอ
พลังทางจิตใจ คือการหาที่พักหรือจุดที่สร้างความสบายใจให้กับตัวเราเองไม่ว่าจะในรูปแบบของบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่ก็ได้ หากจะสามารถสร้างความสบายใจให้กับตัวเราเองได้ล้วนแล้วแต่จำเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าในการใช้ชีวิตนั้นเรามักจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ย่อท้อ ดังนั้นการมีที่พักพิงจิตใจจะช่วยให้เราผ่อนคล้ายต่อสิ่งเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น และยังสามารถเป็นแรงพลักดันเสริมให้เราได้อีกด้วย
5. จัดลำดับความสำคัญให้ดี การจัดลำดับความสำคัญต่อสิ่งที่จำเป็นต้องทำให้ถูกและรัดกุมจะสร้างโอกาศในการเข้าหาเป้าหมายได้ไวขี้น แต่หากไม่มีการวางแผนที่ดีในบางครั้งก็จะทำให้การเดินทางของเรานั้นยุ่งยากมากยิ่งขึ้นไปก็ได้ ดังนั้นการวางแผนต่อสิ่งที่ทำนั้นถือว่ามีสำคัญเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดที่พูดมานั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเลยส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่เหล่าผู้คนทั้งหลายนั้นล้วนรับรู้กับอยู่แล้วใช่ไหม แต่ที่จะบอกก็คือเรารู้แล้วจริงๆ หรือ ในเมื่อรู้แล้วงั้นวันนี้เรามีเป้าหมายอะไรอยู่ แล้วสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะนำทางเราไปหาเป้าหมายหรือไม่ และเราวันนี้รู้สึกขยันในการวิ่งไปหาเป้าหมายของเราแล้วหรือยัง ถ้าท่านใดที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วละก็ ขอแสดงความยินดีด้วยคุณกำลังมีความขยันที่จะวิ่งไปหาสิ่งที่คุณต้องการแล้ว แต่หากท่านใดที่ยังไม่ใช่ก็ลองเอา 5 วิธีที่ผมแนะนำไปลองใช้กันดูก็ได้นะครับ ขอให้ทุกท่านหาเป้าหมายของแต่ละคนเจอและจงเดินทางไปจนถึงปลายทางให้ได้และความขยันจะเป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่งที่ติดตัวไปโดยที่ไม่ต้องค้นหาอีก
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้